กรมการปกครอง โดยสำนักกิจการความมั่นคงภายใน ได้จัดโครงการสัมมนาเยาวชน “สานใจไทย สู่ใจใต้” ค่ายกรมการปกครอง ประจำปี 2559 รุ่นที่ 2
17 ตุลาคม 2559
วันนี้ 3 ตุลาคม 2559 ที่ห้องประชุม มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร กรมการปกครอง โดยสำนักกิจการความมั่นคงภายใน ได้จัดโครงการสัมมนาเยาวชน “สานใจไทย สู่ใจใต้” ค่ายกรมการปกครอง ประจำปี 2559 รุ่นที่ 2 โดยนำเยาวชนจากจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา และจังหวัดสตูล รวมจำนวน 319 คน ซึ่งเป็นเยาวชนที่นายอำเภอในพื้นที่จังหวัดดังกล่าวเป็นผู้รับสมัครคัดเลือก เข้ามาร่วมจัดกิจกรรม ระหว่างวันที่ 28 กันยายน 2559 – 6 ตุลาคม 2559 รวม 9 วัน เพื่อพัฒนาเยาวชนให้เป็นคนดี มีคุณธรรม จริยธรรม ซื่อสัตย์สุจริต มีวินัย ปฏิบัติตนตามหลักธรรมของศาสนา เห็นคุณค่าของตนเอง และมีความรักชาติ รวมทั้งเพื่อให้เยาวชนมีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทย มีความสำนึกใน พระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย และน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต
ร้อยตำรวจโท อาทิตย์ บุญญะโสภัต อธิบดีกรมการปกครอง ได้เยี่ยมเยียนให้กำลังใจเยาวชนที่ร่วมโครงการ พร้อมกล่าวว่า เยาวชนคือพลังแผ่นดินที่ยิ่งใหญ่และเป็นอนาคตของชาติที่มีความสำคัญยิ่ง ฯพณฯ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ จึงมีดำริให้จัดทำโครงการ “สานใจไทย สู่ใจใต้” ขึ้น โดยคัดเลือกและนำเยาวชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มาทัศนศึกษาชุมชนต่าง ๆ และใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวอุปถัมภ์ในกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งเป็นครอบครัวที่นับถือศาสนาอิสลาม และครอบครัว ที่นับถือศาสนาพุทธ เพื่อเรียนรู้สภาพความเป็นอยู่การดำรงชีวิตจริงของครอบครัวอุปถัมภ์และชุมชน โดยมูลนิธิรัฐบุรุษพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ มูลนิธิรักเมืองไทยและมูลนิธิพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานต่าง ๆ ให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมโครงการฯ
สังคมไทยเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม มีอัตลักษณ์ที่สำคัญ คือ การอยู่ร่วมกันของผู้คนท่ามกลางความหลากหลายอย่างกลมกลืน ซึ่งความหลากหลายที่ปรากฏในสังคมพหุวัฒนธรรม ได้แก่ ชาติพันธุ์ ศาสนา ความเชื่อ ภาษา วิถีการดำเนินชีวิต ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม ประเพณี จารีต การเคารพ และการยอมรับความหลากหลายในสังคมพหุวัฒนธรรม การอยู่ร่วมกันท่ามกลางความแตกต่าง เราควรเปิดใจให้กว้าง เพื่อยอมรับความแตกต่างที่เกิดขึ้น และพยายามปรับตัวให้เข้ากับคนทุกเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม การเคารพในหน้าที่ สิทธิเสรีภาพของกันและกัน การอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสังคมไทย เพื่อพัฒนาชาติไทยให้เจริญก้าวหน้าและสงบสุข ศาสนาแต่ละศาสนาก็มุ่งสอนให้ศาสนิกชนเป็นคนดี ตั้งมั่นอยู่ในคำสอนของศาสนา สอนให้มีความรัก ความสามัคคี เมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์และแม้แต่สัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย ศาสนามีความความสำคัญต่อชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ที่เป็นศาสนิกชนของศาสนานั้น ๆ ดังนั้น การที่จะให้คนต่างศาสนาอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุข ทุกคนจึงควรมีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับหลักธรรมคำสอน และความเชื่อของศาสนาอื่น ๆ ด้วย เพื่อเป็นพื้นฐานในการศึกษาทำความเข้าใจ ในความแตกต่างทางสังคมวัฒนธรรม และพฤติกรรม ของผู้ที่นับถือศาสนานั้น ๆ เพื่อการปรับตัวอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบ
ประเทศไทยมีประวัติศาสตร์มายาวนาน ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้สั่งสมสิ่งที่มีลักษณะเด่นหรือเอกลักษณ์ของสังคม วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของประชาชน ซึ่งสะท้อนให้เห็นวิถีความเป็นไทย ซึ่งเป็นมรดกของบรรพบุรุษจนกลายเป็นเอกลักษณ์ของไทย ที่มีคุณค่าควรยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติสืบทอดกัน มาช้านาน และเป็นสิ่งที่แสดงถึงความเป็นชาติไทยที่แตกต่างจากสังคมอื่น คนไทยมีความอ่อนน้อมถ่อมตน ความมีน้ำใจ จนได้รับความชื่นชมจากต่างชาติ ถึงแม้มีอิทธิพลของต่างชาติเข้ามาผสมผสานตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันแต่ก็ได้เลือกสรรมาใช้กับวัฒนธรรมแบบไทยก่อให้เกิดความภาคภูมิใจในความเป็นชาติที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ศาสนา ภาษา ศิลปกรรม อาหาร การแต่งกาย เป็นต้น
อธิบดีกรมการปกครอง ยังกล่าวอีกว่า ขอให้เยาวชนทุกคน ตั้งใจศึกษาเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ และให้ความร่วมมือในการดำเนินกิจกรรมซึ่งจะเกิดผลดีต่อตัวของเยาวชนเอง และประพฤติปฏิบัติตัวเป็นเยาวชนที่ดี เริ่มตั้งแต่การมีวินัย ปฏิบัติตามกฎ ข้อบังคับ เชื่อฟังคำสั่งสอนของวิทยากร ครูพี่เลี้ยง มีความพร้อมเพรียง และการตรงต่อเวลา มีมารยาท ใช้วาจาสุภาพ เคารพผู้ใหญ่ ให้ความร่วมมือกับเพื่อนในการทำกิจกรรม ต่าง ๆ ไม่เห็นแก่ตัว มีความซื่อสัตย์ และใช้เวลาทุกนาทีอย่างมีค่าหาความรู้สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต และนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว สังคม และประเทศชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราเป็นคนไทย มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเป็น “พ่อของแผ่นดิน” ที่เปี่ยมล้นในพระเมตตาและพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า ทรงสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ และทรงทุ่มเทพระวรกายเสด็จพระราชดำเนินไปในถิ่นทุรกันดาร เพื่อช่วยเหลือคนยากไร้ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ดังนั้น เราต้องประพฤติปฏิบัติตัวเป็นคนดี มีความซื่อสัตย์สุจริต รู้รักสามัคคี เป็นคนดีของแผ่นดิน และที่สำคัญที่สุดจะต้องทำให้เกิดประโยชน์แก่แผ่นดินถิ่นกำเนิดของเรา สมกับคำที่ว่า “เกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน”
ที่มา กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรมการปกครอง